15 ส.ค. 2557

Italy Trip Day 4: Bye bye Rome heading to Florence

Day 4 - 3 พ.ค. 2557


Sightseeing
 Duomo di Firenze
Palazzo Vecchio
Vecchio Bridge
Walking around city

     เช้านี้ออกเดินทางกันแบบชิลๆ เพราะจองรอบรถไฟไว้ตอน 9:50 น. ซึ่งนี่คือการนั่งรถไฟข้ามเมืองในอิตาลีครั้งแรก บอกตรงๆ ว่าตื่นเต้น  ^_^/ รถไฟอิตาลีนั้นดูดีและสะอาดมาก รฟท.นั้นไม่สามารถเทียบได้เลย เราใช้เวลาในการเดินทางจากโรมราว 2 ชม. กว่าๆ ก็ถึงฟลอเรนซ์
รถไฟความเร็วสูง / วิวทุ่งหญ้าข้างทางจากโรม-ฟลอเรนซ์
ข้อแนะนำในการนั่งรถไฟ
  • ให้ระวังพวกยิปซีที่อยู่ตามสถานีรถไฟ กลุ่มคนพวกนี้ไม่ได้มาปล้นหรือขโมย แต่จะมาช่วยยกกระเป๋าหรือซื้อตั๋วตามตู้ให้ ฟังดูมีน้ำใจดี แต่จริงๆ เค้าคิดค่าบริการ เท่าไหร่ก็แล้วแต่ใครจะให้ แต่ถ้าไม่อยากให้ช่วยก็ปฏิเสธไปเลย
  • กระเป๋าไม่ควรสูงเกิน 28 นิ้ว หากสูงเกินจะไม่สามารถดันเข้าไปเก็บใต้ชั้นวางกระเป๋า ทำให้ต้องยกขึ้นไปวางอีกชั้นนึง
  • เช็คที่นั่งให้ตรงตามที่ระบุไว้ในตั๋ว หากเจอคนมานั่งที่เรา ก็บอกไปว่านี่ที่เรา (อย่ามาเนียน) ไปนั่งตรงอื่น
  • เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยเพราะฟรี และห้องน้ำบนรถไฟก็สะอาดใช้ได้
     มาถึงฟลอเรนซ์ปุ๊บ ฝนตกหนักปั๊บ เราสองคนจำใจเดินเล่นในสถานี และหาร้านนั่งเพื่อรอเวลาให้ฝนหยุด ช่วงเวลานี้เราก็เลยกางแผนที่ เพื่อหาทางไปที่พัก เพราะที่พักคราวนี้อยู่ห่างจากสถานีพอสมควร เราสองคนเลือกพักที่ B&B Emozioni Fiorentine ซึ่งเป็นที่พักยอดนิยมอันดับที่ 2 จาก 508 ที่พักในหมวดของ B&B ใน Florence (จัดอันดับโดย tripadvisor) ที่พักอยู่ตรง Piazza della Republica 3 สะดวกมากในการเดินเล่นทั่วเมือง
Hotel walking route map
ที่พักอยู่แถวจัตุรัสเลย
     หลังจากฝนหยุด เราสองคนก็ลากกระเป๋าตรงดิ่งไปยังที่พักทันที ประทับใจตั้งแต่แรกเพราะพนักงานลงมารอรับเราตั้งแต่หน้าประตู ที่พักอยู่ชั้น 2 (ที่พักส่วนใหญ่ในอิตาลีหากไม่ใช่โรงแรมมักจะอยู่ตามอาคาร แล้วดัดแปลงเป็นห้องพักให้เช่า) ขอแนะนำเลยว่าหากมา Florence ควรมาพักที่นี่ เพราะห้องสวย สะอาด บรรยากาศดี มีกลิ่นหอมตลอดเวลา ที่สำคัญปลอดภัย ที่นี่ใช้ระบบ key card ทั้งหมด ตั้งแต่ประตูด้านหน้าตึก ประตูด้านใน และประตูห้องพัก ซึ่งเจ้าหน้าที่จะให้กุญแจสำรองมาอีก 1 ชุด ในกรณีที่ระบบไฟฟ้าขัดข้อง ราคาห้องพัก 3 คืนตกอยู่ที่ € 559 (€ 547 + city tax คืนละ € 2 ต่อคน) พร้อมอาหารเช้า
convenient location / beautiful room / nice staff
     เก็บข้าวของเสร็จ พักเหนื่อยกันสักแป๊บ ก็ออกเดินเล่นรอบเมืองฟลอเรนซ์ ที่แรกที่ไปคือ Duomo di Firenze อยู่ไม่ไกลจากที่พัก เดินแป๊บเดียวก็ถึง ซึ่งบรรยากาศหลังฝนหยุดมันช่างสร้างความโรแมนติกให้กับเมืองนี้เป็นอีกทวีคูณ
ดูโอโม่ท่ามกลางสายฝน และกำลังอยู่ในช่วงบูรณะ
มุมสวยๆ กับดูโอโม่
     ถ่ายรูปกันสักพัก ก็เดินหาร้าน Gelato ที่เค้าว่ากันว่าอร่อยนั่นคือ GROM อยู่ห่างจากดูโอโม่แค่นิดเดียว ให้เดินเข้าซอยที่เยื้องกับหอระฆัง ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือ
GROM map
อร่อยสมคำร่ำลือ
     ร้าน GROM เป็นเจลาโต้ที่อร่อยที่สุดในทริปนี้จริงๆ เนื้อเนียน รสชาติแน่น ถ้าใครไปฟลอเรนซ์อย่าลืมแวะร้านนี้ ซึ่งตรงข้ามร้าน GROM จะมีร้านขายขนมพวก candy / chocolate ซึ่งหน้าตา packaging ก็หลอกล่อให้เราเสียเงินได้ดีจริงๆ
     สดชื่นกับเจลาโต้ก็ออกเดินต่อไปยัง Uffizi Gallery Museum ระหว่างทางเจอร้าน Panini ที่ลือลั่นว่ามันอร่อย (สังเกตได้จากคิวที่รอซื้อ) เราสองคนไม่ได้ลองชิม เพราะยังอิ่มจากเจลาโต้กันอยู่ (แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลองเพราะหาร้านไม่เจอ และ คุณเพื่อนสนิท ก็ไม่ได้อยากกิน _ _" ) ผ่านร้านขายของกระจุกกระจิก หันไปเห็นที่วางยากันยุง ก็ขำๆ กันว่าพี่อิตาเลี่ยนใช้เหมือนเราเลยแหะ
บรรยากาศ / ร้าน Panini ชื่อดังที่กินคู่กับไวน์แดง / ที่วางยากันยุง
     แล้วเราก็มาถึง Uffizi Gallery Museum ซึ่งมีประติมากรรมหินอ่อน เดวิด (David) จำลองของ มิเคลันเจโล (Michelangelo Buonarroti) ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ ส่วนของจริงจะอยู่ด้านใน และของฝากแถวนี้ที่ทำให้ฮาได้คือ ทุกสิ่งอย่างจะเน้นที่ "ไข่เดวิด" โดยจะ crop เฉพาะส่วนมาทำเป็น magnet / postcard แล้วก็อะไรอีกหลายอย่าง เสียดายลืมถ่ายรูปมา เพราะมัวแต่ขำกับกลุ่มคุณป้าฝรั่ง ที่ชี้ชวนกันดู "ไข่เดวิด"
ตัวพิพิธภัณฑ์เป็นส่วนหนึ่งของ “พาลัซโซ เดกลิ อุฟฟิซิ”
     การเข้าชมพิพิธภัณฑ์จะต้องทำการจองล่วงหน้า ไม่ใช่เดินดุ่ยๆ ไปซื้อตั๋วแล้วจะเข้าชมได้เลย ถ่ายรูปกันสักพัก เราสองคนก็ออกเดินต่อไปยังสะพานเวคคิโอ เป็นสะพานที่ขายของแพงๆ เช่น นาฬิกาข้อมือ, เครื่องประดับพวก เพชร พลอย ทอง ฯลฯ
คราคร่ำไปด้วยผู้คน
      ฟลอเรนซ์เป็นเมืองที่เดินง่ายมาก ทุกตรอกทะลุถึงกันหมด แต่เพื่อความมั่นใจควรมี Google Map และแผนที่ธรรมดาพกติดตัวไว้ด้วย และหลังจากเดินชมเมืองมาทั้งวัน เราเริ่มมองหาร้านอาหารสำหรับมื้อเย็น โดยเราสองคนเลือกร้านอาหารที่ blogger ต่างชาติแนะนำมา นั่นคือร้าน Hostaria il desco ร้านนี้เป็นที่นิยมมาก (ดูได้จาก review ใน tripadvisor และ yelp)
บรรยากาศหน้าร้าน / ภายในร้าน
      พอไปถึงร้าน เค้าก็จะถามว่าได้จองไว้หรือเปล่า ซึ่งเราสองคนไม่ได้จองไว้ แต่เค้าก็จัดโต๊ะให้เราได้เพราะเราไปถึงร้านเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ทางร้านจะเสิร์ฟแชมเปญ คล้ายๆ welcome drink สักพักก็จะมารับออเดอร์ พร้อมกับตะกร้าขนมปัง (ความเห็นส่วนตัว: ขนมปังตามร้านอาหารที่อิตาลีไม่ถูกปากเราเลยสักร้าน)
อาหารปริมาณเยอะ รสชาติอร่อย
      ค่าอาหารมื้อนี้ € 39.30 อิ่มหนำสำราญ เดินตัวอ้วนกลับที่พัก จบวันกันไปอย่างสบายใจ 


---- โพสต์หน้าออกเดินทางสู่หอเอนเมืองปิซ่า ----


22 ก.ค. 2557

Italy Trip Day 3: When in Rome (2)

Day 3 - 2 พ.ค. 2557


Sightseeing
 Galleria Borghese
Colosseum
Arch of Constantine
Roman Forum
Campidoglio

     เช้านี้ต้องรีบออกเดินทางเพราะจองคิวเข้า Galleria Borghese ไว้รอบแรกตอน 9 โมงเช้า การไป Galleria Borghese ให้นั่ง Metro Line A (สายสีแดง) จาก Roma Termini มาลงที่สถานี Barberini จากนั้นให้เดินออกทางฝั่ง Via Vittorio Veneto ซึ่งป้ายรถเมล์จะอยู่แถวๆ ทางขึ้นของ metro เลย ซึ่งเราสองคนก็รอรถเมล์สาย 116 ไม่นานนัก (แนะนำให้ดาวน์โหลด Probus Rome เป็น app ที่แสดงสายรถเมล์ต่างๆ และตารางการเดินรถในโรม) สาย 116 จะเป็น electric bus คันเล็กๆ ซึ่งรถจะวิ่งไปจอดใน park หน้า Borghese เลย สะดวกสบายสุดๆ
สาย 116 / ด้านหน้า Galleria Borghese
     ก่อนเติมอารมณ์ศิลป์ เราสองคนเติมอาหารให้กับกระเพาะกันก่อน ในแกลอรี่มีคาเฟ่ที่ให้บริการทั้งของคาวและเครื่องดื่ม ซึ่งรสชาติก็เหมือนเดิมคือ อิตาลีแท้ทั้งกาแฟและแซนด์วิช (ที่สำคัญอย่าลืมเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยด้วยล่ะ)
Panini ชิ้นใหญ่สะใจ แบ่งกันกิน
      เราใช้เวลาเดินอยู่ในแกลอรี่เป็นชั่วโมง ซึ่งภายในห้ามถ่ายรูป และประติมากรรมที่เราอยากมาเห็นกับตา เรียกว่า Must see! เลย นั่นคือ The Rape of Proserpina ผลงานของ Gian Lorenzo Bernini ซึ่งพอได้เห็นของจริงแล้วถึงกับอึ้งในความเป็นอัจฉริยะของคนๆนี้ เพราะแกะสลักหินออกมาได้เหมือนกับเนื้อคนจริงๆ O_O และภายในแกลอรี่ก็มีทั้งภาพวาดและประติมากรรมอีกหลายอย่างที่จะทำให้อึ้งกัน แบบ continuous เลยทีเดียว เคยอ่านเจอกระทู้นึงเขียนไว้ว่า หากใครมาถึงโรมแล้วไม่ได้แวะมาชมศิลปะที่นี่ เหมือนกับว่ามาไม่ถึงอิตาลีเลยทีเดียว ซึ่งเราเห็นด้วยจริงๆ 
     หลังจากเดินเล่นกันใน park อีกสักพัก เราสองคนก็นั่งรถเมล์สาย 116 กลับมายังสถานี Barberini เพื่อไป Colosseum กันต่อ โดยเราจะต้องเปลี่ยนสถานีกันที่ Roma Termini เพราะต้องนั่ง Metro Line B (สายสีน้ำเงิน) ไปขึ้นสถานี Colosseo แต่ก่อนออกเดินทางได้เวลามื้อกลางวันกันแล้ว สำหรับมื้อนี้ เล็งไว้แต่แรกว่าจะมาลอง เป็นร้านเบอร์เกอร์แถว Roma Termini แต่เราสั่งสลัดเพราะร่างกายต้องการไฟเบอร์ ซึ่งความสดของผักมันยิ่งทำให้รสชาติอาหารอร่อยขึ้นไปอีก ค่าเสียหายมื้อนี้ €6.30
ปริมาณ 2 คนกิน
     ท้องอิ่มก็ออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่สถานี Colosseo พอขึ้นจากสถานีปุ๊บเราก็จะเห็น Colosseum ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้า (แอบเซ็งเล็กน้อย เพราะช่วงที่ไปนั้นตลอดทั้งทริป อิตาลีทำการซ่อมแซมสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่ง ทำให้ได้ภาพไม่สวยสมใจเราเอาซะเลย) การเข้าชม Colosseum หากมี Roma Pass จะสามารถเข้าช่อง fast lane ได้เลย เราสองคนใช้บัตรเบ่งทันที ซึ่งแถวแบบปกตินั้นยาวเหยียด แถมคนที่มารอซื้อตั๋วที่ด้านหน้าทางเข้าก็เยอะมากๆ เราสองคนยื่นบัตรให้เจ้าหน้าที่แล้วก็เดินผ่านฝูงชนมาแบบภาคภูมิใจ >[]< 
ภายใน และภายนอกของ Colosseum
      เราสองคนเดินเล่น ถ่ายรูปกันเยอะมากท่ามกลางสายฝนปรอยๆ ใน Colosseum เพราะรู้สึกประทับใจในความเก่งกาจของคนสมัยก่อน โดยเฉพาะ คุณเพื่อนสนิท ที่ดูจะปลาบปลื้มกับเจ้า Colosseum มากๆ เพราะมันคือ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (ด้านสถาปัตยกรรม) และการมาที่นี่คือ 1st Mission สำหรับทริปนี้ของ คุณเพื่อนสนิท เพราะเค้าตั้งใจไว้ว่าชีวิตนี้จะต้องไปเยือนให้ครบทั้ง 7 สิ่งมหัศจรรย์รอบโลก o_o  และใกล้ๆ Colosseum ก็จะมี Arch of Constantine เป็นซุ้มประตู ถัดมาอีกก็เป็นซากปรักหักพังของ Roman Forum แล้วเราสองคนก็เดินเล่นเก็บบรรยากาศกันที่ Campidoglio ซึ่ง 3 ที่หลังนี้เราสองคนเก็บภาพด้วยตาเท่านั้น เพราะไม่ได้รู้สึกว่าสวยโดดเด่นอะไร แค่เดินเล่นชิลๆ ก็พอแล้ว
     โพสต์นี้อาจจะเขียนสั้น แต่จริงๆ วันนั้นใช้เวลาไปครึ่งวันกับ Borghese gallery และอีกครึ่งวันใน Colosseum แค่สองที่ก็ทำเอาขาลากได้ไม่น่าเชื่อ แถมมีสายฝนโปรยปรายเป็นระยะ เดินไปลุ้นไปว่าจะเปียกมั้ยหนอ
     เริ่มหิวกันแล้ว มื้อเย็นนี้เราสองคนตัดสินใจลองกินอาหารจีนที่อยู่แถวสถานี Roma Termini เพราะ คุณเพื่อนสนิท ออกอาการเบื่ออาหารอิตาเลี่ยนซะแล้ว ร้านนี้ชื่อว่า Hong Kong F&B - Food & Beverage ซึ่งตอนแรกไม่กล้าเข้า เพราะมันดูมาเฟียยังไงไม่รุ แต่ด้วยเพราะทนความเลี่ยนของอาหารท้องถิ่นไม่ไหวจึงตัดสินใจลองดู ผลปรากฎว่าอร่อยเกินคาด มันช่างเป็นมื้อสุดท้ายในโรมที่สุขสุดๆ จริงๆ *O*
ผัดหมี่ / น้ำจิ้มแก้เลี่ยน / เกี๊ยวน้ำ / เป็ดทอดหนังกรอบ อร่อยมาก!
     จบวันกันไปอย่างอิ่มหนำสำราญใจ พรุ่งนี้เช้าออกเดินทางสู่ Florence เราสองคนจองรอบรถไฟไว้ตอน 9.50 น. จึงไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้ามากนัก


---- โพสต์หน้าจะพาไปดื่มด่ำบรรยากาศเมืองที่ทุกคนว่ากันว่าโรแมนติก Florence ----

3 ก.ค. 2557

Italy Trip Day 2: When in Rome (1)

Day 2 - 1 พ.ค. 2557


Sightseeing
Spanish Steps
Trevi Fountain
Pantheon
Piazza Navona
Trastevere
National Monument to Victor Emmanuel II

     เช้านี้ตื่นมาด้วยความสดใส เพราะนอนกันตั้งแต่หัวค่ำ และยังไม่พบเจออาการปวดเมื่อยขา เติมพลังด้วยอาหารเช้าที่ทางที่พักจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งจะเป็นพวกขนมปัง กาแฟ เค้ก โยเกิร์ตทั่วไป พออิ่มท้องก็เตรียมตัวออกเดินทาง พร้อมตามหา เจลาโต้อร่อยๆ กินกัน
     สถานที่แรกที่จะไปคือบันไดสเปน โดยนั่ง metro ไปลงสถานี Spagna จากสถานีเดินตามฝูงชนไปไม่ไกลประมาณ 200 ม. ก็ถึงจุดหมายแรกของเรา ด้วยความที่คนเยอะมาก ทำให้ไม่สามารถถ่ายรูปออกมาให้สวยสมใจได้สักใบ T_T
แดดแรง / คนเยอะ
     ถ่ายรูปเล่นเก็บบรรยากาศกันสักพัก เราสองคนเดินจากบันไดสเปนไม่ไกลประมาณ 800 ม. ก็ถึงน้ำพุเทรวี ซึ่งประติมากรรม ความอลังการ มันทำให้เรา stunning ไปชั่วขณะ เราเห็นด้วยกับคำที่ว่า ภาพถ่ายคือการบันทึกความทรงจำ แต่ต่อให้ดูภาพถ่ายที่ว่าสวยแค่ไหน ก็ยังไม่สามารถบรรยายความรู้สึกได้ดีเท่ากับการเห็นด้วยตาเปล่า

ป้ายบอกทาง / น้ำพุใสแจ๋ว
     และสิ่งที่ต้องทำเมื่อมาถึงน้ำพุเทรวีนั่นคือ หันหลังโยนเหรียญ เป็นความเชื่อที่ว่าโยนเหรียญแล้วจะได้กลับมาเยือนโรมอีก เราสองคนไม่รอช้าขอเกาะกระแสนิดนึง แต่!! ลืมไปว่ายังไม่ได้แตกแบงค์แล้วจะเอาเหรียญจากไหนล่ะ?? โชคดีพกเงินไทยไปด้วยควานหาจนเจอเหรียญบาท 1 เหรียญ! เลยยกหน้าที่ให้เพื่อนสนิทโยนแล้วก็แตะมือเอา คล้ายว่าทำบุญ ^^+
     ดื่มด่ำกับวิวสวยๆ ของน้ำพุกันพอแล้วก็ถึงเวลาตามหาเจลาโต้อร่อยๆ ที่ร้าน San Crispino กินกัน ซึ่งร้านนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากน้ำพุเทรวี (แผนที่คลิกที่ชื่อร้านได้เลย) เพียงหันหน้าเข้าน้ำพุ แล้วเดินไปทางขวามือ ตรงไปเรื่อยๆ จนถึงแยกถนนชื่อ Via della Panetteria  ให้เลี้ยวซ้ายเข้ามา ร้านจะอยู่ทางขวามือ ซึ่งเราสองคนเดินหลง! ทั้งๆ ที่มันอยู่ไม่ไกล แต่หาไม่เจอเพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับสินค้าและงานศิลป์ข้างทาง ทำให้ต้องเดินอ้อมเป็นวงกลม
     * ข้อแนะนำ: อย่าเชื่อใจ app Google map มากเกินไป ควรทำการบ้านโดยการดูแผนที่แบบปกติไปด้วย
ร้านยอดนิยม / ถ้วยเล็กๆ ราคา €3.50
     หลังของหวานเราก็ต่อกันด้วยอาหารกลางวันกัน ตั้งใจจะไปกินที่ร้าน Enoteca Corsi แต่พอไปถึงร้านดันปิด หรือเราสองคนหาร้านไม่เจอกันแน่ก็ไม่รู้ O_O! เลยต้องหิ้วท้องไปหาอะไรกินกันแถว Pantheon แถวนั้นก็มีหลายร้านให้เลือกสรร แต่ด้วยความที่อยากเข้าห้องน้ำแล้ว จึงตัดสินใจเดินเข้าร้านที่อยู่ข้างๆ Pantheon เลย เราสองคนสั่งแค่ pizza มากินกัน เพราะเพิ่งอิ่มจากเจลาโต้ ซึ่งพิชซ่าก็อร่อยสมคำร่ำลือว่าประเทศนี้คือต้นกำเนิดของพิชซ่า
Pizza หน้าตาจืดๆ แต่รสชาตอร่อยเกินหน้าตา
      หลังจากอิ่มหนำกันแล้ว กะว่าจะเข้าไปถ่าย Octopus กันในแพนธีออนสักหน่อย แต่วันที่ไปมันปิด! เพราะวันที่ 1 พ.ค.มันคือ Labor day คนอิตาลีเค้าก็หยุดกัน เศร้ามากๆ เลยได้แต่เก็บบรรยากาศรอบๆ แทน
น้ำพุหน้า Pantheon / นักรบยืนรอถ่ายรูป
     ถ่ายรูปเล่นสักแป๊บก็เดินต่อไปยัง Piazza Navona ช่วงที่ไปอากาศเย็นสบายทำให้เวลาเดินไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าไร จริงๆ การเดินเที่ยวที่อิตาลีไม่ยากอย่างที่คิด เพราะนักท่องเที่ยวเยอะ ส่วนใหญ่ก็มุ่งหน้าไปจุดหมายเดียวกัน แค่เราเดินตามฝูงชนไปก็ถึงที่หมาย ซึ่งจัตุรัสนี้มีประติมากรรมของศิลปินในดวงใจเรานั่นคือ Bernini
ประติมากรรมแบบบาโรก
     นั่งพักเหนื่อยกันสักพัก มุ่งหน้าสู่โบสถ์ซานตามาเรียในทรัสเตเวเร ตามที่หาข้อมูลมาเค้าให้นั่งรถรางสาย 8 เราสองคนก็เดินไปขึ้นรถกันที่สถานี Argentina แต่ก็ไม่รู้ว่ามันต้องขึ้นตรงไหน? เดินวนไปวนมาแถวๆ นั้นเป็น 10 นาที จนเริ่มหงุดหงิดทั้งคู่ =_=^ สุดท้ายก็ต้องถามคนแถวนั้นเอาว่าต้องไปขึ้นตรงไหน... โชคดีที่แถวป้ายรถรางจะเป็นสวนสาธารณะ ซึ่งตรงนั้นจะมีน้ำพุให้เราเติมน้ำดื่มได้ แรกๆ ก็ไม่กล้ากรอกน้ำเอามาดื่ม เพราะรู้สึกว่าเฮ้ยยย มันจะดื่มได้รึ? แต่พอเห็นราคาน้ำเปล่าขวดละ €1 แล้วก็ต้องจำยอม ซึ่งพอลองดื่มดูแล้วมันเย็นสดชื่นมากกว่าที่คิดแหะ
     เราสองคนยืนรอรถกันนานพอควร ตอนแรกตัดสินใจว่าเดินกันมั้ยเพราะดูจากแผนที่แล้วมันน่าจะเดินได้ แต่ก็แอบกลัวว่าถ้ามันไกลล่ะ? เพราะเดินกันมาค่อนวันแล้ว อาการอ่อนล้าเริ่มมาเยือน แต่พอรถมาถึงก็ตะลึง เพราะคนที่ป้ายก็เยอะ คนบนรถก็เยอะ แถมรถยังคันเล็กอีก o_o ก็ต้องเบียดเสียดกันไป
คนแน่นเอี๊ยด / น้ำพุสำหรับดื่ม
     นั่งรถมาประมาณ 2 ป้าย จุดสังเกตง่ายๆ คือพอรถรางวิ่งผ่านสะพานข้ามแม่น้ำไทเบอร์มา นับไปอีก 2 ป้าย ก็ให้ลง แล้วเดินตามแผนที่ไปไม่ไกลนัก สองข้างทางก่อนถึงโบสถ์มีร้านนั่งชิวเต็มไปหมด
Santa Maria in Trastevere
     ชื่นชมบรรยากาศในโบสถ์กันพอหายเหนื่อย ขากลับเราเลือกที่จะเดินแทนการขึ้นรถราง เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ไกลเลย สามารถเดินได้ คราวนี้เราเดินตาม Google map ไปยัง National Monument to Victor Emmanuel II จุดหมายปลายทางสุดท้ายของวันนี้ (ขาเริ่มลาก _ _") ตอนแรกตั้งใจจะซื้อตั๋ว Rome from the Sky ขึ้นไปดูวิวกรุงโรมบนชั้นสูงสุด แต่เห็นคิวยาวเลยถอนตัว ซึ่งจริงๆ ชั้นที่เค้าเปิดให้ขึ้นไปโดยไม่ต้องเสียเงินก็เห็นวิวสวยทั่วกรุงโรม
วิวจากชั้นบน / แถวยาวรอขึ้นชมวิว
     เริ่มหิวและหมดแรง เพราะเดินกันเยอะมากๆ ณ เวลาตอนนั้นก็ 6 โมงกว่าได้ แต่ฟ้ายังใสแจ๋ว เราสองคนนั่งรถไฟใต้ตินกลับจากสถานี Coloseo มายัง Roma Termini แล้วก็หาร้านข้าวแถวๆ สถานีกินกัน ซึ่งมื้อเย็นของวันนี้คือร้านอาหารอินเดีย ขอบอกว่าอาหารอร่อยมากๆ จานใหญ่แบ่งกินกันได้สองคน มื้อนี้จ่ายค่าอาหารไป €8 เดินกลับที่พักกันแบบอิ่มสบายท้อง จบวันกันไปแบบเมื่อยล้าพอตัว -_-
เมนูอาหาร / หน้าตาไม่สวย แต่อร่อย!


---- โพสต์หน้าจะพาไปเสพศิลป์กันที่ Galleria Borghese และพาชม Colosseum ----

26 มิ.ย. 2557

Italy Trip Day 1: Rome to Vatican City

Rome 3 nights

Day 1-30 เม.ย. 2557 (Bangkok - Rome)


Sightseeing
Vatican Museum
Sistine Chapel
St.Peter's Basilica

     ช่วงที่ไปเริ่มจะเข้าสู่งช่วง High-season ของการท่องเที่ยวยุโรป ทำให้ต้องยืนเข้าแถวรอเช็คอินนานมากๆ ใช้เวลาเข้าคิวประมาณชม.  เครื่องออกจากกรุงเทพฯ เวลา 00.20 น. ถึงสนานบิน FCO เวลา 06.50 น.(เวลาของอิตาลีช้ากว่าไทย 11 ชม.)
คิวยาวเหยียด / น่านฟ้าอิตาลี
เครื่อง Validate ตั๋ว

เครื่องแตะพื้นก็ต้องนั่งรถไฟอีกต่อเพื่อเข้าไปที่ airport  ซึ่งขั้นตอนผ่าน Immigration ก็ไม่ยุ่งยากอะไรใช้เวลาไม่นาน เจ้าหน้าที่แทบไม่ดูหน้า พลิกดู passport แล้วก็ปล่อยผ่าน จากนั้นก็เดินตามป้าย Treni (ไม่ยาก) เพื่อไปขึ้น Leonardo Express  ระหว่างทางจะเจอ PIT (Tourist Information) ที่เราสามารถซื้อโรม่า พาสได้ แต่ด้วยความที่ยังเช้าอยู่ มันก็เลยยังไม่เปิดทำการ

เราสองคนลากกระเป๋าเดินตามป้าย Treni ไปเรื่อยๆ ขึ้นบันไดเลื่อนมาเดินอีกหน่อยก็ถึงชานชลา ซึ่งสามารถซื้อตั๋วได้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วของทางสถานี และที่ร้านขายบุหรี่ (Biglietti) ด้วยความที่อ่าน review หาข้อมูลมาเยอะ เลยเลือกซื้อตั๋วจากร้านขายบุหรี่เพราะจะได้ซื้อโรม่าพาสด้วย

ราคา Roma Pass 36 ส่วน Leonardo Express 14 พอได้ตั๋วรถไฟแล้ว อย่าลืม! Validate ตั๋ว เพราะหากลืมจะต้องเสียค่าปรับ การ validate ตั๋วไม่ยาก ให้ validate ตั๋วที่เครื่องประจำชานชลาเดียวกับที่จะขึ้นรถ (พลาดมาแล้วคือไปเสียบตู้อื่นที่อยู่ใกล้ๆ มันไม่ยอม Validate) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็มาถึงสถานีหลักของโรมนั่นคือ Roma Termini
     ภายใน Roma Termini มีร้านค้ามากมายให้ shopping แต่สิ่งแรกที่ซื้อคือ Sim card เราตัดสินใจเลือกที่จะซื้อซิมเปลี่ยนใส่ iPhone แทนการเช่า WiFi router เพราะเผื่อต้องโทรติดต่อกับที่พัก และกรณีฉุกเฉินอื่นๆ จริงๆ ซิมการ์ดที่อิตาลี มีหลายเจ้าให้เลือกใช้บริการทั้ง Wind / Vodafone / TIM 

     แต่โอเปอเรเตอร์ที่เราเลือกใช้บริการคือ TIM ร้านหาไม่ยากเลย ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของสถานี จุดสังเกตง่ายๆ พอเจอร้าน McDonald แล้ว เงยหน้าขึ้นมาก็จะเจอ TIM shop  เราเลือกโปรฯ ทั้งโทรและเล่นเน็ต เจ้าหน้าที่จัดการเปลี่ยน Sim card ให้ รอประมาณ 5 นาที ก็ใช้งานได้ ราคาซิมการ์ด30 ที่เลือก TIM เพราะว่าใช้งานง่าย ไม่ต้องใส่ PIN code เพื่อ active เน็ตก็แรง เล่น LINE ไม่สะดุด  ถือว่าคุ้มมากๆ

       จัดการเรื่องมือถือเปลี่ยนซิมการ์ดเสร็จ ก็รีบลากกระเป๋าเข้าที่พักทันที เพราะต้องนั่ง metro ไปวาติกัน จองรอบเข้าวาติกันมิวเซียมไว้ตอนบ่ายสอง เราพักที่ Dem GuestHouse: Piazza Manfredo Fanti 38 อยู่ห่างจาก Roma Termini แค่ 450 ม. สะดวกมากๆ ในการเดินทางและหาของกิน ห้องพักสะอาดใช้ได้ ติเรื่องเดียวคือเสียงข้างนอกลอดเข้ามาในห้อง
Rome metro route
     เก็บข้าวของเรียบร้อย ก็รีบนั่ง Metro ไปขึ้นสถานี Cipro เวลาตอนนั้นก็ประมาณ 11 โมงกว่าได้ กะว่าจะไปเดินเล่น ถ่ายรูปชิวๆ ที่ St.Peter's Basilica ก่อน เพราะจองรอบเข้าวาติกันมิวเซียมไว้ตอน 2.00pm เดินตามแผนที่ที่ปริ้นท์ไป และ Google map เดินไปสักพักจนเห็นกำแพงวาติกัน ตกใจกับภาพที่เห็นเพราะคนเยอะมากแถมต่อแถวยาวเหยียด เริ่มตระหนกว่ามันเกิดอะไรขึ้น เลยตัดสินใจถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ของวาติกันที่ยืนอยู่แถวๆ นั้น (เพื่อรอคนประเภทเรา hahaha) เค้าก็อธิบายว่า St.Peter's Basilica มันเปิด-ปิดเป็นเวลา และอีกตั้งหลายชม.กว่าจะถึงรอบเข้ามิวเซียม แต่ถ้าอยากเข้าไปชมแบบไม่ต้องรอ มาม๊ะ มาเสียตังค์ค่าไกด์สิ แล้วคุณจะได้รับสิทธิพิเศษเข้าชมมิวเซียมได้ตอนนี้เลย แถมไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวเข้า St.Peter's Basilica ด้วยนะเออ (อันนี้อธิบายเอาฮา ^^)
เห็นกำแพงสูง ยาวแบบนี้ แสดงว่ามาถึง Vatican Museum แล้ว
     เราสองคนเลยยอมจ่ายค่าไกด์ของวาติกันคนละ 26 เพื่อที่จะใช้สิทธิ์พิเศษในการเดินทะลุออกจาก Sistine Chapel เข้า St.Peter's Basilica ได้เลย และเลื่อนรอบการเข้าชมวาติกัน มิวเซียมให้เร็วขึ้น ซึ่งเราจะต้องรอให้คนเต็มกรุ๊ปก่อน จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะแจก Audio guide พร้อมสติ๊กเกอร์ติดเสื้อ ซึ่งไกด์ก็จะพาเดินและอธิบายประวัติต่างๆ ให้ฟังเพลินๆ ตลอดเวลาที่เยี่ยมชมมิวเซียม
ภายในวาติกัน มิวเซียม และไกด์สาวของวาติกัน
     ภายในวาติกัน มิวเซียมมันกว้างมาก เดินกันเมื่อยจนมาถึง Sistine Chapel ซึ่งห้ามถ่ายรูป และจะได้ยินเสียงประกาศเป็นระยะๆ ว่า Please Silent ไกด์ก็จะให้เราดื่มด่ำบรรยากาศจนหนำใจ แล้วก็พาเดินทะลุออกประตูลับทางขวามือ ที่สามารถเดินทะลุออกไป St.Peter's Basilica ได้ ซึ่งคุณต้องมากับไกด์ของวาติกันเท่านั้นถึงจะออกประตูนี้ได้ และจะมีเจ้าหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกทำเนียนออกทางประตูนี้ด้วย แต่เอาเข้าจริงๆ คนมันเยอะ ไม่รู้หรอกว่าใครมากับไกด์บ้าง
     ผ่านประตูลับจาก Sistine Chapel ออกมา ไกด์ก็จะปล่อยให้เดินแบบอิสระกันที่ St.Peter's Basilica
ประติมากรรมที่เด่นๆ ในนั้นก็คือ The Pieta by Michelangelo และ The altar with Bernini's baldacchino
ภายใน St.Peter's Basilica
     มารู้สาเหตุที่คนเยอะก็ตอนออกมาจาก St.Peter เพราะโป๊บเสด็จออกมาทำพิธีอะไรสักอย่าง คนเลยเยอะมาก โชคดีที่ตัดสินใจถูกในการจ่ายเงินจ้างไกด์วาติกัน ไม่อย่างนั้นคงต้องรอต่อแถวอีกนานกว่าจะได้เข้าโบสถ์
ด้านหน้า St.Peter's Basilica
     หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดิน ก็ถึงเวลาตามรอยหาร้านอร่อยแถวๆ วาติกันมิวเซียม นั่นคือร้าน ROMEO chef & baker ที่เค้าว่ากันว่าสปาเก็ตตี้ คาโบนาร่าลือลั่น เส้นจะลวกมาแบบ Al Dente คือเส้นจะหนึบๆ เคี้ยวมัน (แต่เรากลับไม่ชอบแหะ) รสชาติเข้มข้นสมคำร่ำลือ บรรยากาศร้านก็ดี เปิดเพลง jazz เพิ่มอรรถรสในการรับประทานอาหาร ก็ไปลองกันได้แต่ขอบอกว่าอาหารแพงใช้ได้เลย มื้อนี้จ่ายไป 60 สำหรับอาหาร 3 อย่าง; สปาเก็ตตี้ คาโบนาร่า / สลัด / พาร์ม่าแฮม (ลืมถ่าย _ _" )
มื้อที่แพงที่สุดในทริปนี้
     Tip: การเข้าห้องน้ำสาธารณะที่อิตาลีจะมีค่าใช้จ่ายครั้งละตั้งแต่ 0.80 - 1 ดังนั้นถ้าไม่อยากเสียเงินเข้าห้องน้ำ เวลาไปกินข้าวตามร้านอาหารก็เข้าเสียให้เรียบร้อย เพราะเค้าถือว่าเราจ่ายเงินค่าอาหารไปแล้วจึงมีสิทธิ์ได้ใช้ห้องน้ำฟรี และยังสามารถเข้าห้องน้ำฟรีได้ตาม Book store และ museum
 
     อิ่มกันแบบเหนื่อยๆ งงๆ เพราะลงเครื่องมาก็ลุยเลย ไม่ได้นอนพักอะไรทั้งนั้น นั่ง metro กลับจากสถานี Cipro มาที่ Roma Termini พอกลับถึงโรงแรมอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็สลบเหมือดกันทั้งคู่ จบวันกันไปอย่างทรหด


ขนมหน้าตาน่ากิน / สินค้าแบกะดิน / ร้านเจลาโต้ที่ฝรั่งชอบ แต่เราเฉยๆ

---- โพสต์หน้าจะพาไปเดินเล่นกันแถวบันไดสเปน ----

* ขอแทรกเรื่องแปลกและฮาของทริปนี้คือ โถสุขภัณฑ์ของอิตาลีที่เรียกว่าบิเดร์ (Bidet) เห็นครั้งแรกก็เอ๊ะ?มันใช้ยังไง สรุปวิธีการใช้ไม่มีอะไรมากก็แค่ย้ายก้นไปอีกโถหลังจากเสร็จธุระเพื่อชำระล้าง ว่าแต่มันใช่รึ?!! *
บิเดร์ (Bidet)