Rome 3 nights
Day 1-30 เม.ย. 2557 (Bangkok - Rome)
Sightseeing
Vatican Museum
Sistine Chapel
St.Peter's Basilica
![]() |
คิวยาวเหยียด / น่านฟ้าอิตาลี |
![]() |
เครื่อง Validate ตั๋ว |
เครื่องแตะพื้นก็ต้องนั่งรถไฟอีกต่อเพื่อเข้าไปที่ airport ซึ่งขั้นตอนผ่าน Immigration ก็ไม่ยุ่งยากอะไรใช้เวลาไม่นาน เจ้าหน้าที่แทบไม่ดูหน้า พลิกดู passport แล้วก็ปล่อยผ่าน จากนั้นก็เดินตามป้าย Treni (ไม่ยาก) เพื่อไปขึ้น Leonardo Express ระหว่างทางจะเจอ PIT (Tourist Information) ที่เราสามารถซื้อโรม่า พาสได้ แต่ด้วยความที่ยังเช้าอยู่ มันก็เลยยังไม่เปิดทำการ
เราสองคนลากกระเป๋าเดินตามป้าย Treni ไปเรื่อยๆ ขึ้นบันไดเลื่อนมาเดินอีกหน่อยก็ถึงชานชลา ซึ่งสามารถซื้อตั๋วได้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วของทางสถานี และที่ร้านขายบุหรี่ (Biglietti) ด้วยความที่อ่าน review หาข้อมูลมาเยอะ เลยเลือกซื้อตั๋วจากร้านขายบุหรี่เพราะจะได้ซื้อโรม่าพาสด้วย
ราคา Roma Pass €36 ส่วน Leonardo Express €14 พอได้ตั๋วรถไฟแล้ว อย่าลืม! Validate ตั๋ว เพราะหากลืมจะต้องเสียค่าปรับ การ validate ตั๋วไม่ยาก ให้ validate ตั๋วที่เครื่องประจำชานชลาเดียวกับที่จะขึ้นรถ (พลาดมาแล้วคือไปเสียบตู้อื่นที่อยู่ใกล้ๆ มันไม่ยอม Validate) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็มาถึงสถานีหลักของโรมนั่นคือ Roma Termini
ราคา Roma Pass €36 ส่วน Leonardo Express €14 พอได้ตั๋วรถไฟแล้ว อย่าลืม! Validate ตั๋ว เพราะหากลืมจะต้องเสียค่าปรับ การ validate ตั๋วไม่ยาก ให้ validate ตั๋วที่เครื่องประจำชานชลาเดียวกับที่จะขึ้นรถ (พลาดมาแล้วคือไปเสียบตู้อื่นที่อยู่ใกล้ๆ มันไม่ยอม Validate) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็มาถึงสถานีหลักของโรมนั่นคือ Roma Termini
ภายใน Roma Termini มีร้านค้ามากมายให้ shopping แต่สิ่งแรกที่ซื้อคือ Sim card เราตัดสินใจเลือกที่จะซื้อซิมเปลี่ยนใส่ iPhone แทนการเช่า WiFi router เพราะเผื่อต้องโทรติดต่อกับที่พัก และกรณีฉุกเฉินอื่นๆ จริงๆ ซิมการ์ดที่อิตาลี มีหลายเจ้าให้เลือกใช้บริการทั้ง Wind / Vodafone / TIM
แต่โอเปอเรเตอร์ที่เราเลือกใช้บริการคือ TIM ร้านหาไม่ยากเลย ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของสถานี จุดสังเกตง่ายๆ พอเจอร้าน McDonald แล้ว เงยหน้าขึ้นมาก็จะเจอ TIM shop เราเลือกโปรฯ ทั้งโทรและเล่นเน็ต เจ้าหน้าที่จัดการเปลี่ยน Sim card ให้ รอประมาณ 5 นาที ก็ใช้งานได้ ราคาซิมการ์ด €30 ที่เลือก TIM เพราะว่าใช้งานง่าย ไม่ต้องใส่ PIN code เพื่อ active เน็ตก็แรง เล่น LINE ไม่สะดุด ถือว่าคุ้มมากๆ
แต่โอเปอเรเตอร์ที่เราเลือกใช้บริการคือ TIM ร้านหาไม่ยากเลย ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของสถานี จุดสังเกตง่ายๆ พอเจอร้าน McDonald แล้ว เงยหน้าขึ้นมาก็จะเจอ TIM shop เราเลือกโปรฯ ทั้งโทรและเล่นเน็ต เจ้าหน้าที่จัดการเปลี่ยน Sim card ให้ รอประมาณ 5 นาที ก็ใช้งานได้ ราคาซิมการ์ด €30 ที่เลือก TIM เพราะว่าใช้งานง่าย ไม่ต้องใส่ PIN code เพื่อ active เน็ตก็แรง เล่น LINE ไม่สะดุด ถือว่าคุ้มมากๆ
จัดการเรื่องมือถือเปลี่ยนซิมการ์ดเสร็จ ก็รีบลากกระเป๋าเข้าที่พักทันที เพราะต้องนั่ง metro ไปวาติกัน จองรอบเข้าวาติกันมิวเซียมไว้ตอนบ่ายสอง เราพักที่ Dem GuestHouse: Piazza Manfredo Fanti 38 อยู่ห่างจาก Roma Termini แค่ 450 ม. สะดวกมากๆ ในการเดินทางและหาของกิน ห้องพักสะอาดใช้ได้ ติเรื่องเดียวคือเสียงข้างนอกลอดเข้ามาในห้อง
![]() |
Rome metro route |
![]() |
เห็นกำแพงสูง ยาวแบบนี้ แสดงว่ามาถึง Vatican Museum แล้ว |
เราสองคนเลยยอมจ่ายค่าไกด์ของวาติกันคนละ €26 เพื่อที่จะใช้สิทธิ์พิเศษในการเดินทะลุออกจาก Sistine Chapel เข้า St.Peter's Basilica ได้เลย และเลื่อนรอบการเข้าชมวาติกัน มิวเซียมให้เร็วขึ้น ซึ่งเราจะต้องรอให้คนเต็มกรุ๊ปก่อน จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะแจก Audio guide พร้อมสติ๊กเกอร์ติดเสื้อ ซึ่งไกด์ก็จะพาเดินและอธิบายประวัติต่างๆ ให้ฟังเพลินๆ ตลอดเวลาที่เยี่ยมชมมิวเซียม
![]() |
ภายในวาติกัน มิวเซียม และไกด์สาวของวาติกัน |
ภายในวาติกัน มิวเซียมมันกว้างมาก เดินกันเมื่อยจนมาถึง Sistine Chapel ซึ่งห้ามถ่ายรูป และจะได้ยินเสียงประกาศเป็นระยะๆ ว่า Please Silent ไกด์ก็จะให้เราดื่มด่ำบรรยากาศจนหนำใจ แล้วก็พาเดินทะลุออกประตูลับทางขวามือ ที่สามารถเดินทะลุออกไป St.Peter's Basilica ได้ ซึ่งคุณต้องมากับไกด์ของวาติกันเท่านั้นถึงจะออกประตูนี้ได้ และจะมีเจ้าหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกทำเนียนออกทางประตูนี้ด้วย แต่เอาเข้าจริงๆ คนมันเยอะ ไม่รู้หรอกว่าใครมากับไกด์บ้าง
ผ่านประตูลับจาก Sistine Chapel ออกมา ไกด์ก็จะปล่อยให้เดินแบบอิสระกันที่ St.Peter's Basilica
ประติมากรรมที่เด่นๆ ในนั้นก็คือ The Pieta by Michelangelo และ The altar with Bernini's baldacchino
![]() |
ภายใน St.Peter's Basilica |
มารู้สาเหตุที่คนเยอะก็ตอนออกมาจาก St.Peter เพราะโป๊บเสด็จออกมาทำพิธีอะไรสักอย่าง คนเลยเยอะมาก โชคดีที่ตัดสินใจถูกในการจ่ายเงินจ้างไกด์วาติกัน ไม่อย่างนั้นคงต้องรอต่อแถวอีกนานกว่าจะได้เข้าโบสถ์
![]() |
ด้านหน้า St.Peter's Basilica |
หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดิน ก็ถึงเวลาตามรอยหาร้านอร่อยแถวๆ วาติกันมิวเซียม นั่นคือร้าน ROMEO chef & baker ที่เค้าว่ากันว่าสปาเก็ตตี้ คาโบนาร่าลือลั่น เส้นจะลวกมาแบบ Al Dente คือเส้นจะหนึบๆ เคี้ยวมัน (แต่เรากลับไม่ชอบแหะ) รสชาติเข้มข้นสมคำร่ำลือ บรรยากาศร้านก็ดี เปิดเพลง jazz เพิ่มอรรถรสในการรับประทานอาหาร ก็ไปลองกันได้แต่ขอบอกว่าอาหารแพงใช้ได้เลย มื้อนี้จ่ายไป €60 สำหรับอาหาร 3 อย่าง; สปาเก็ตตี้ คาโบนาร่า / สลัด / พาร์ม่าแฮม (ลืมถ่าย _ _" )
Tip: การเข้าห้องน้ำสาธารณะที่อิตาลีจะมีค่าใช้จ่ายครั้งละตั้งแต่ €0.80 - €1 ดังนั้นถ้าไม่อยากเสียเงินเข้าห้องน้ำ เวลาไปกินข้าวตามร้านอาหารก็เข้าเสียให้เรียบร้อย เพราะเค้าถือว่าเราจ่ายเงินค่าอาหารไปแล้วจึงมีสิทธิ์ได้ใช้ห้องน้ำฟรี และยังสามารถเข้าห้องน้ำฟรีได้ตาม Book store และ museum
อิ่มกันแบบเหนื่อยๆ งงๆ เพราะลงเครื่องมาก็ลุยเลย ไม่ได้นอนพักอะไรทั้งนั้น นั่ง metro กลับจากสถานี Cipro มาที่ Roma Termini พอกลับถึงโรงแรมอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็สลบเหมือดกันทั้งคู่ จบวันกันไปอย่างทรหด
* ขอแทรกเรื่องแปลกและฮาของทริปนี้คือ โถสุขภัณฑ์ของอิตาลีที่เรียกว่าบิเดร์ (Bidet) เห็นครั้งแรกก็เอ๊ะ?มันใช้ยังไง สรุปวิธีการใช้ไม่มีอะไรมากก็แค่ย้ายก้นไปอีกโถหลังจากเสร็จธุระเพื่อชำระล้าง ว่าแต่มันใช่รึ?!! *
![]() |
มื้อที่แพงที่สุดในทริปนี้ |
อิ่มกันแบบเหนื่อยๆ งงๆ เพราะลงเครื่องมาก็ลุยเลย ไม่ได้นอนพักอะไรทั้งนั้น นั่ง metro กลับจากสถานี Cipro มาที่ Roma Termini พอกลับถึงโรงแรมอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็สลบเหมือดกันทั้งคู่ จบวันกันไปอย่างทรหด
![]() |
ขนมหน้าตาน่ากิน / สินค้าแบกะดิน / ร้านเจลาโต้ที่ฝรั่งชอบ แต่เราเฉยๆ |
---- โพสต์หน้าจะพาไปเดินเล่นกันแถวบันไดสเปน ----
* ขอแทรกเรื่องแปลกและฮาของทริปนี้คือ โถสุขภัณฑ์ของอิตาลีที่เรียกว่าบิเดร์ (Bidet) เห็นครั้งแรกก็เอ๊ะ?มันใช้ยังไง สรุปวิธีการใช้ไม่มีอะไรมากก็แค่ย้ายก้นไปอีกโถหลังจากเสร็จธุระเพื่อชำระล้าง ว่าแต่มันใช่รึ?!! *
![]() |
บิเดร์ (Bidet) |