26 มิ.ย. 2557

Italy Trip Day 1: Rome to Vatican City

Rome 3 nights

Day 1-30 เม.ย. 2557 (Bangkok - Rome)


Sightseeing
Vatican Museum
Sistine Chapel
St.Peter's Basilica

     ช่วงที่ไปเริ่มจะเข้าสู่งช่วง High-season ของการท่องเที่ยวยุโรป ทำให้ต้องยืนเข้าแถวรอเช็คอินนานมากๆ ใช้เวลาเข้าคิวประมาณชม.  เครื่องออกจากกรุงเทพฯ เวลา 00.20 น. ถึงสนานบิน FCO เวลา 06.50 น.(เวลาของอิตาลีช้ากว่าไทย 11 ชม.)
คิวยาวเหยียด / น่านฟ้าอิตาลี
เครื่อง Validate ตั๋ว

เครื่องแตะพื้นก็ต้องนั่งรถไฟอีกต่อเพื่อเข้าไปที่ airport  ซึ่งขั้นตอนผ่าน Immigration ก็ไม่ยุ่งยากอะไรใช้เวลาไม่นาน เจ้าหน้าที่แทบไม่ดูหน้า พลิกดู passport แล้วก็ปล่อยผ่าน จากนั้นก็เดินตามป้าย Treni (ไม่ยาก) เพื่อไปขึ้น Leonardo Express  ระหว่างทางจะเจอ PIT (Tourist Information) ที่เราสามารถซื้อโรม่า พาสได้ แต่ด้วยความที่ยังเช้าอยู่ มันก็เลยยังไม่เปิดทำการ

เราสองคนลากกระเป๋าเดินตามป้าย Treni ไปเรื่อยๆ ขึ้นบันไดเลื่อนมาเดินอีกหน่อยก็ถึงชานชลา ซึ่งสามารถซื้อตั๋วได้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วของทางสถานี และที่ร้านขายบุหรี่ (Biglietti) ด้วยความที่อ่าน review หาข้อมูลมาเยอะ เลยเลือกซื้อตั๋วจากร้านขายบุหรี่เพราะจะได้ซื้อโรม่าพาสด้วย

ราคา Roma Pass 36 ส่วน Leonardo Express 14 พอได้ตั๋วรถไฟแล้ว อย่าลืม! Validate ตั๋ว เพราะหากลืมจะต้องเสียค่าปรับ การ validate ตั๋วไม่ยาก ให้ validate ตั๋วที่เครื่องประจำชานชลาเดียวกับที่จะขึ้นรถ (พลาดมาแล้วคือไปเสียบตู้อื่นที่อยู่ใกล้ๆ มันไม่ยอม Validate) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็มาถึงสถานีหลักของโรมนั่นคือ Roma Termini
     ภายใน Roma Termini มีร้านค้ามากมายให้ shopping แต่สิ่งแรกที่ซื้อคือ Sim card เราตัดสินใจเลือกที่จะซื้อซิมเปลี่ยนใส่ iPhone แทนการเช่า WiFi router เพราะเผื่อต้องโทรติดต่อกับที่พัก และกรณีฉุกเฉินอื่นๆ จริงๆ ซิมการ์ดที่อิตาลี มีหลายเจ้าให้เลือกใช้บริการทั้ง Wind / Vodafone / TIM 

     แต่โอเปอเรเตอร์ที่เราเลือกใช้บริการคือ TIM ร้านหาไม่ยากเลย ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของสถานี จุดสังเกตง่ายๆ พอเจอร้าน McDonald แล้ว เงยหน้าขึ้นมาก็จะเจอ TIM shop  เราเลือกโปรฯ ทั้งโทรและเล่นเน็ต เจ้าหน้าที่จัดการเปลี่ยน Sim card ให้ รอประมาณ 5 นาที ก็ใช้งานได้ ราคาซิมการ์ด30 ที่เลือก TIM เพราะว่าใช้งานง่าย ไม่ต้องใส่ PIN code เพื่อ active เน็ตก็แรง เล่น LINE ไม่สะดุด  ถือว่าคุ้มมากๆ

       จัดการเรื่องมือถือเปลี่ยนซิมการ์ดเสร็จ ก็รีบลากกระเป๋าเข้าที่พักทันที เพราะต้องนั่ง metro ไปวาติกัน จองรอบเข้าวาติกันมิวเซียมไว้ตอนบ่ายสอง เราพักที่ Dem GuestHouse: Piazza Manfredo Fanti 38 อยู่ห่างจาก Roma Termini แค่ 450 ม. สะดวกมากๆ ในการเดินทางและหาของกิน ห้องพักสะอาดใช้ได้ ติเรื่องเดียวคือเสียงข้างนอกลอดเข้ามาในห้อง
Rome metro route
     เก็บข้าวของเรียบร้อย ก็รีบนั่ง Metro ไปขึ้นสถานี Cipro เวลาตอนนั้นก็ประมาณ 11 โมงกว่าได้ กะว่าจะไปเดินเล่น ถ่ายรูปชิวๆ ที่ St.Peter's Basilica ก่อน เพราะจองรอบเข้าวาติกันมิวเซียมไว้ตอน 2.00pm เดินตามแผนที่ที่ปริ้นท์ไป และ Google map เดินไปสักพักจนเห็นกำแพงวาติกัน ตกใจกับภาพที่เห็นเพราะคนเยอะมากแถมต่อแถวยาวเหยียด เริ่มตระหนกว่ามันเกิดอะไรขึ้น เลยตัดสินใจถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ของวาติกันที่ยืนอยู่แถวๆ นั้น (เพื่อรอคนประเภทเรา hahaha) เค้าก็อธิบายว่า St.Peter's Basilica มันเปิด-ปิดเป็นเวลา และอีกตั้งหลายชม.กว่าจะถึงรอบเข้ามิวเซียม แต่ถ้าอยากเข้าไปชมแบบไม่ต้องรอ มาม๊ะ มาเสียตังค์ค่าไกด์สิ แล้วคุณจะได้รับสิทธิพิเศษเข้าชมมิวเซียมได้ตอนนี้เลย แถมไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวเข้า St.Peter's Basilica ด้วยนะเออ (อันนี้อธิบายเอาฮา ^^)
เห็นกำแพงสูง ยาวแบบนี้ แสดงว่ามาถึง Vatican Museum แล้ว
     เราสองคนเลยยอมจ่ายค่าไกด์ของวาติกันคนละ 26 เพื่อที่จะใช้สิทธิ์พิเศษในการเดินทะลุออกจาก Sistine Chapel เข้า St.Peter's Basilica ได้เลย และเลื่อนรอบการเข้าชมวาติกัน มิวเซียมให้เร็วขึ้น ซึ่งเราจะต้องรอให้คนเต็มกรุ๊ปก่อน จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะแจก Audio guide พร้อมสติ๊กเกอร์ติดเสื้อ ซึ่งไกด์ก็จะพาเดินและอธิบายประวัติต่างๆ ให้ฟังเพลินๆ ตลอดเวลาที่เยี่ยมชมมิวเซียม
ภายในวาติกัน มิวเซียม และไกด์สาวของวาติกัน
     ภายในวาติกัน มิวเซียมมันกว้างมาก เดินกันเมื่อยจนมาถึง Sistine Chapel ซึ่งห้ามถ่ายรูป และจะได้ยินเสียงประกาศเป็นระยะๆ ว่า Please Silent ไกด์ก็จะให้เราดื่มด่ำบรรยากาศจนหนำใจ แล้วก็พาเดินทะลุออกประตูลับทางขวามือ ที่สามารถเดินทะลุออกไป St.Peter's Basilica ได้ ซึ่งคุณต้องมากับไกด์ของวาติกันเท่านั้นถึงจะออกประตูนี้ได้ และจะมีเจ้าหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกทำเนียนออกทางประตูนี้ด้วย แต่เอาเข้าจริงๆ คนมันเยอะ ไม่รู้หรอกว่าใครมากับไกด์บ้าง
     ผ่านประตูลับจาก Sistine Chapel ออกมา ไกด์ก็จะปล่อยให้เดินแบบอิสระกันที่ St.Peter's Basilica
ประติมากรรมที่เด่นๆ ในนั้นก็คือ The Pieta by Michelangelo และ The altar with Bernini's baldacchino
ภายใน St.Peter's Basilica
     มารู้สาเหตุที่คนเยอะก็ตอนออกมาจาก St.Peter เพราะโป๊บเสด็จออกมาทำพิธีอะไรสักอย่าง คนเลยเยอะมาก โชคดีที่ตัดสินใจถูกในการจ่ายเงินจ้างไกด์วาติกัน ไม่อย่างนั้นคงต้องรอต่อแถวอีกนานกว่าจะได้เข้าโบสถ์
ด้านหน้า St.Peter's Basilica
     หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดิน ก็ถึงเวลาตามรอยหาร้านอร่อยแถวๆ วาติกันมิวเซียม นั่นคือร้าน ROMEO chef & baker ที่เค้าว่ากันว่าสปาเก็ตตี้ คาโบนาร่าลือลั่น เส้นจะลวกมาแบบ Al Dente คือเส้นจะหนึบๆ เคี้ยวมัน (แต่เรากลับไม่ชอบแหะ) รสชาติเข้มข้นสมคำร่ำลือ บรรยากาศร้านก็ดี เปิดเพลง jazz เพิ่มอรรถรสในการรับประทานอาหาร ก็ไปลองกันได้แต่ขอบอกว่าอาหารแพงใช้ได้เลย มื้อนี้จ่ายไป 60 สำหรับอาหาร 3 อย่าง; สปาเก็ตตี้ คาโบนาร่า / สลัด / พาร์ม่าแฮม (ลืมถ่าย _ _" )
มื้อที่แพงที่สุดในทริปนี้
     Tip: การเข้าห้องน้ำสาธารณะที่อิตาลีจะมีค่าใช้จ่ายครั้งละตั้งแต่ 0.80 - 1 ดังนั้นถ้าไม่อยากเสียเงินเข้าห้องน้ำ เวลาไปกินข้าวตามร้านอาหารก็เข้าเสียให้เรียบร้อย เพราะเค้าถือว่าเราจ่ายเงินค่าอาหารไปแล้วจึงมีสิทธิ์ได้ใช้ห้องน้ำฟรี และยังสามารถเข้าห้องน้ำฟรีได้ตาม Book store และ museum
 
     อิ่มกันแบบเหนื่อยๆ งงๆ เพราะลงเครื่องมาก็ลุยเลย ไม่ได้นอนพักอะไรทั้งนั้น นั่ง metro กลับจากสถานี Cipro มาที่ Roma Termini พอกลับถึงโรงแรมอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็สลบเหมือดกันทั้งคู่ จบวันกันไปอย่างทรหด


ขนมหน้าตาน่ากิน / สินค้าแบกะดิน / ร้านเจลาโต้ที่ฝรั่งชอบ แต่เราเฉยๆ

---- โพสต์หน้าจะพาไปเดินเล่นกันแถวบันไดสเปน ----

* ขอแทรกเรื่องแปลกและฮาของทริปนี้คือ โถสุขภัณฑ์ของอิตาลีที่เรียกว่าบิเดร์ (Bidet) เห็นครั้งแรกก็เอ๊ะ?มันใช้ยังไง สรุปวิธีการใช้ไม่มีอะไรมากก็แค่ย้ายก้นไปอีกโถหลังจากเสร็จธุระเพื่อชำระล้าง ว่าแต่มันใช่รึ?!! *
บิเดร์ (Bidet)



11 มิ.ย. 2557

การจองตั๋วเข้า Vatican Museum, โทรจองคิว Galleria Borghese, Roma Pass

     หลังจากได้ที่พัก ตั๋วรถไฟเรียบร้อยแล้ว เราก็ทำการจองตั๋วเข้า museum ต่างๆ สำหรับทริปนี้เราสองคนเลือกที่จะเข้าแค่สองที่คือ Vatican museum (ที่รวมส่วนของ Sistine Chapel ไว้ด้วย) และ Galleria Borghese ที่เราขอไว้ว่า must see ไม่มาไม่ได้

ข้อแนะนำ: หากไป Vatican museum แล้วคิดจะแวะชม St.Peter's Basilica ไม่ว่าจะเข้าที่ไหนก่อน/หลัง อาจไม่ได้เหมือนที่หลายๆ คนแนะนำมา เพราะว่าคนต่อแถวกันยาวมากก ขอย้ำว่ายาวมากๆ ทั้ง Vatican museum และ St.Peter's Basilica (กรุณาดูได้จากภาพประกอบ)
แถวเข้า Vatican museum
ด้านหน้า St.Peter's Basilica แถวยาวอย่างกับงูกินหาง
เราสองคนเลยเลือกที่จะเสียเงินเพิ่มในการจ้างไกด์ของวาติกัน เพื่อเป็นการประหยัดเวลาเพราะจะได้สิทธิพิเศษในการเดินทะลุจาก Sistine Chapel ไป St.Peter's Basilica ได้เลย

การจองตั๋ว Vatican museum

  1.  ก่อนทำการจองตั๋วควรดูวันเปิดปิดของ museum ก่อนที่ http://mv.vatican.va/3_EN/pages/z-Info/MV_Info_Calendario2014.html
  2. เลือกวันได้แล้วก็จองตั๋วได้ที่  http://biglietteriamusei.vatican.va/musei/tickets/do
  3. คลิกเลือก Admission Tickets จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนต่างๆ จนเสร็จ จ่ายเงินเรียบร้อยโดยการหักผ่านบัตรเครดิต
  4. ตั๋วจะถูกส่งมายัง e-mail ที่เราให้ไว้ อย่าลืม! ปริ้นท์ไปด้วยเพื่อเอาไปแลกเป็นบัตรเข้า museum อีกที


การโทรจอง Galleria Borghese

     การเข้าชมที่นี่จะต้องทำการโทรจองก่อน ซึ่งเราสองคนได้จองตั๋วจากเมืองไทยก่อนไป หลักการก็ไม่ยาก เพียงแค่โทรไปจองกับทางเจ้าหน้าที่ (อันนี้แหละที่ยากเพราะคนอิตาลีพูดอังกฤษเร็วและกระดกลิ้น)
  • Calling the number +39 06 32810 (open Monday to Friday, 9:00 am to 6:00 pm – Saturdays, 9:00 am to 1:00 pm)
  • เจ้าหน้าที่จะให้ code มา จดไว้ให้ดี อย่าให้หายเพราะต้องใช้ร่วมกับ Roma Pass
  • ในกรณีที่โทรจองจากเมืองไทย ไม่จำเป็นต้องมี Roma Pass ก็จองได้ แต่เมื่อไปถึงอิตาลีแล้วให้ซื้อ Roma Pass เพื่อเอาไปยื่นพร้อมกับหมายเลขการจอง (เพราะเราจะเข้าที่นี่ได้ฟรี เดี๋ยวจะอธิบายเรื่อง Roma Pass ในตอนต่อไป)
     ประติมากรรมที่เด่นสุดสำหรับความคิดเราก็คือ The rape of Proserpina ผลงานของ Bernini ยิ่งเห็นของจริงยิ่งตะลึงพรึงเพริด บอกได้ว่าหากใครไปโรมก็อย่าลืมแวะเสพงานศิลป์ที่นี่ล่ะ

การซื้อ Roma Pass

      เราสองคนเลือกที่จะไปซื้อ Roma Pass ที่อิตาลี เพราะรู้สึกว่าการสั่งซื้อแบบ online มันไม่สะดวกที่สำคัญคืออยากแตกแบงค์ยูโรที่แลกไปด้วยนั่นเอง
     Roma Pass หาซื้อได้ตามร้านขายบุหรี่ที่สถานีรถไฟ หรือจะซื้อที่ Tourist Information ที่สนามบินก็ได้ ราคา ณ วันที่ 30/5/2014 คือ ชุดละ 36 ภายในก็จะประกอบไปด้วย คู่มือต่างๆ / แผนที่โรม และบัตร Roma Pass ที่เราต้องพกไว้สำหรับการเดินทางและการเข้า museum
     บัตร Roma Pass สามารถใช้เข้า museum หรือสถานที่ที่ระบุไว้ในคู่มือฟรี 2 แห่ง ซึ่งควรเลือกเข้า 2 แห่งในวันเดียวกัน เพราะเจ้าหน้าที่จะทำการ validate บัตรทันทีที่เราใช้

ข้อแนะนำ: หากใครเที่ยวโรม 3 วันขึ้นไป ควรซื้อ Roma Pass อย่างยิ่ง เพราะท่านจะขึ้น bus/ metro / tram กี่เที่ยวกี่รอบก็ได้ ตลอดระยะเวลาที่ท่านอยู่ในโรม คุ้มค่ามาก ^_^


10 มิ.ย. 2557

ขั้นตอนการจองที่พัก ซื้อตั๋วรถไฟในอิตาลีจากเว็บ Trenitalia แบบ online

ตั๋วเครื่องบิน

     ก่อนเข้าเรื่องขั้นตอนการจองทุกสิ่งอย่างแบบ online ขอคั่นด้วยการซื้อตั๋วเครื่องบินกันก่อน ทริปนี้เราประหยัดค่าตั๋วไปได้พอควร เพราะได้โปรฯ ฉลองครบรอบ 54 ปีการบินไทย ค่าตั๋วเครื่องบินจึงตกอยู่ที่คนละ 4 หมื่นกว่าบาท (ไป Rome - กลับ Milan) เราสองคนเลือกบินตรง เพราะอยากเที่ยวให้ได้เยอะที่สุด (เล็งโปรฯ ของสายการบินไว้ดีๆ และอย่าเพิ่งซื้อตั๋วจนกว่าท่านจะได้วีซ่า) สำหรับทริปนี้ เราเลือกจองตั๋วกับทาง Thaitravelcenter เพราะเป็นตัวแทนของ TG  พนักงานอัธยาศัยดี และอธิบายโปรฯ ได้อย่างละเอียด แต่ตั๋วเครื่องบินที่ซื้อจะไม่รวมประกัน ต้องแยกซื้อประกันภัยการเดินทางต่างหากอีกคนละ 1,250 บาท

การจองที่พัก (Booking.com)

     ตอนยื่นขอวีซ่าจำเป็นต้องมีหลักฐานการพักอาศัย ซึ่งเว็บไซต์ที่ให้บริการจองที่พักก็มีหลายเจ้า แต่สำหรับเรา booking.com คือที่หนึ่งในดวงใจ (สำหรับที่พักในตปท.) เพราะใช้งานง่าย ราคาถูกกว่าเจ้าอื่น และอธิบายเงื่อนไขต่างๆ ไว้อย่างละเอียด
     หลักในการเลือกที่พักของเราคือ เน้นสะดวก สะอาด ใกล้สถานีรถไฟ ราคาพอประมาณ โดยอาศัยอ่านรีวิวจาก tripadvisor และจากรีวิวใน booking.com
  • โรม: เลือกแถว Roma Termini (สถานีรถไฟหลักของกรุงโรม)
  • ฟลอเรนซ์: เลือกแถว Firenze S.M.Novella (สถานีรถไฟหลักของฟลอเรนซ์)
  • เวนิส: ไม่ได้จองกับ booking.com (เพราะได้ที่พักของพี่เป้า คนไทยในเวนิส)
  • มิลาน: เลือกแถว Milano Centrale (สถานีรถไฟหลักของมิลาน)
     ราคาห้องแต่ละแบบก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข อย่างเราเลือกแบบที่สามารถยกเลิกการจองได้ ซึ่งค่าห้องต่อคืนจะแพงกว่าแบบยกเลิกไม่ได้ประมาณนึง และช่วงที่เราไปเป็นช่วงเริ่ม high season ของอิตาลี ราคาห้องรวม city tax และ VATตกคืนละประมาณ 6 พันกว่าบาท ซึ่งพอหารค่าห้องกันคนละครึ่งก็ถือว่ารับได้ (^O^)v
ข้อแนะนำ
  • ต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน ถึงจะใช้บริการได้ 
  • ก่อนทำการจอง ให้หาข้อมูลรีวิวที่พักจาก tripadvisor หรือ google เพิ่มเติม
  • ดูเงื่อนไขในการยกเลิกการจองห้องพักให้ดีๆ เพราะเราสามารถเลือกจองได้หลายโรงแรม จนกว่าจะเจอที่ถูกใจที่สุด(กันพลาด) อย่าลืม! cancel ให้ตรงตามเงื่อนไข ไม่งั้นท่านจะเสียเงินไม่รู้ตัว
  • ทุกครั้งที่มีการจอง ทาง booking.com จะส่งใบ confirm มาให้ทาง e-mail แต่อย่าได้วางใจเพราะเคยมีกรณีทางที่พักปฏิเสธการจองมาแล้ว เราจึงควร confirm กับทางที่พักเองด้วย
  • เวลาเข้าพัก แค่แจ้งว่าจองห้องพักทาง booking.com หรือโชว์ใบ confirmation (ซึ่งไม่เคยได้ใช้เลย -..-) 

การจองตั๋วรถไฟ TrenItalia

     ขั้นตอนการจองตั๋วรถไฟของอิตาลีอยากจะบอกว่า ไม่ยากอย่างที่คิด และไม่จำเป็นต้องสมัครเป็นสมาชิกเพื่อใช้บริการ (คลิกเลือกเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษก่อนเพื่อความสะดวก)
    • หน้าแรก ดูที่แถบสีแดงซ้ายมือ เลือก Ticket จะ Single หรือ Return แล้วแต่สะดวก สิ่งที่ยากในการจองสำหรับมือใหม่คือ ต้องรู้ว่าสถานีที่เราจะไปลงคือที่ไหน (ดูตัวอย่างจากภาพได้) แล้วก็กด search [ใครจะติ๊กเลือก Find best price ก็ได้ แต่หากติ๊กเลือก ตัวเลือกเวลาในการเดินทางจะจำกัดกว่า ไม่เหมาะกับเราสองคนอย่างยิ่ง ที่พิศมัยการเดินทางแบบไม่เร่งรีบ \-_-/ ]
    • หน้าถัดมา จะแสดงรายละเอียดต่างๆ สำหรับช่อง Train Type แนะนำให้เลือก Le Frecce (รถไฟความเร็วสูง) พอเลือกได้แล้วก็กดที่คำว่า select
    • จากนั้นระบบจะแสดงช่วงราคาที่ยังมีตั๋ว หากอยากเลือกที่นั่งก็ให้ติ๊กที่ select seat แล้วก็ continue ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าจ่ายเงิน
    • กรอกข้อมูลเบื้องต้นตามปกติ  
    • สำหรับ Additional Service เราข้ามไปเลยเพราะไม่ได้ใช้บริการ 
    • ส่วน Contact buyer-required ให้ติ๊กเลือก Non Registered User แล้วก็กรอกข้อมูลที่จำเป็น
    • Payment ก็เลือกตามสะดวก (หากใช้ VISA ท่านจะเสียค่าธรรมเนียม 2.5% , Master card เสียค่าธรรมเนียม 2% ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนก็ขึ้นอยู่กับวันที่ทางผู้ขายทำ transaction กับธนาคาร)
    • เสร็จสิ้นกระบวนการ ทาง trenitalia ก็จะส่ง ticket มาให้ทาง e-mail ที่เราให้ไว้ หน้าตาแบบนี้ ซึ่งสามารถปริ้นท์เอาไปใช้เวลาขึ้นรถไฟได้เลย โดยเจ้าหน้าที่จะเดินมาตรวจตามที่นั่ง และไม่ต้อง validate ตั๋วที่ตู้แต่อย่างใด